• Home
  • /
  • Media Mentions
  • /
  • ภูมิคุ้มกันธุรกิจโรงแรมเครือถาวร ก้าวต่ออย่างเข้มแข็ง- ซีอีโอโฟกัส_หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษกิจ

ภูมิคุ้มกันธุรกิจโรงแรมเครือถาวร ก้าวต่ออย่างเข้มแข็ง- ซีอีโอโฟกัส_หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

ตระกูลเก่าแก่ ที่บุกเบิกธุรกิจในภูเก็ต อย่าง “ถาวรว่องวงศ์” ซึ่งต้นตระกูล  “อ๋องซิมผาย” อพยพจากเมืองจีน เข้ามาปักหลักสร้างธุรกิจเหมืองแร่ สวนยางพารา จนมาถึงการบุกเลิกลงทุนธุรกิจโรงแรม เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้วของทายาทในรุ่นต่อ ๆ มา ก็นับว่าเป็นหนึ่งตระกูบของเศรษฐีภูเก็ต ที่ติดกับดักวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี  2540 จากภาระหนี้สินเกือบ 4 พันล้านบาท ธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก แต่วันนี้ภายใต้การบริหารของ “เลิศ ถาวรว่องวงศ์” กรรมการบริหารโรงแรมในเครือถาวร โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เจเนอเรชั่น 4   ก็สามารถพลิกวิกฤติที่ผ่านมา จนผ่านมรสุมได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 28 ปี

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษกิจ

คุณเลิศ เปิดใจว่าผมจำได้เลยว่าตอนนั้นผมอายุราว 7 ขวบ ช่วงไทยมีวิกฤติต้มยำกุ้ง กว่า 20 ปีทต้องเห็นคุณพ่อ ไปนั่งประนอมหนี้มาเกือบทั้งชีวิต จนผมเรียนจบจากสหรัฐอเมริกากลับมากเมื่อปี  2557 เพื่อมารับช่วงต่อในการบริหารธุรกิจ ตอนนั้น ก็ยังเหลือหนี้อีกเกือบ 3 พันล้านบาท เป็นเงินต้นร่วม 2 พันล้านบาท อีกกว่า 1 พันล้านบาท เป็นดอกเบี้ยทบต้น

ขณะที่ธุรกิจโรงแรมที่เป็นรายได้ พอมีเงินเข้ามาไปจ่ายดอกเบี้ย ส่วนธุรกิจตัวที่ไม่เกิดรายได้ก็เป็นหนี้เสียไป ผมก็มองว่าถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ธุรกิจที่เรามีรายได้ ก็ไม่มีเงินหมุนเวียนมาปรับปรุงโรงแรมโทรมลงทุกวัน ต่อไปก็อยู่ยาก แล้วอาจทำให้กลายเป็นหนี้เสีย “เกิดวงจรอุบาทว์ ไม่มีวันที่เราจะกลับคืนมาได้” แล้วหนี้มันก็จะเพิ่มขึ้นมากว่าเดิมไปอีก

ตอนผมเข้ามาบริหารธุรกิจอายุ 24 ปี การเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจท่ามกลางภาระหนี้เยอะ สภาพคล่องย่ำแย่ เฉพาะธุรกิจโรงแรมที่ทำรายได้ริมหาด 2 แห่ง คือ ถาวร บีช วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต และถาวร ปาล์ม บีช รีสอร์ท มีพนักงานมากว่า 600 คน อัตราการเข้าพักของลูกค้าอยู่ที่ 9%  มีเงินในบัญชีอยู่  5 ล้านบาท ยอมรับว่าเสียวสันหลังทุกวัน ระทึกทุกวันว่าจะอยู่อย่างไร โรงแรมก็โทรมมาก
สิ่งที่ผมมองคือ ต้องหาวิธีขายทรัพย์สินเป็นเรื่องที่ยากมากในอดีตคุณปู่จะมีอีโก้ ไม่ยอมให้คุณพ่อขายทรัพย์สินไม่อยากเสียหน้า ต้องสู้ถึงที่สุด และเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเข้ามาดูแลธุรกิจ เพราะคุณพ่อก็อายุมากขึ้นแล้ว ตอนนั้นผมก็คุยกับคุณพ่อว่า เราอยู่ในช่วงที่แย่ที่สุดแล้ว ถ้าป๋าอยากให้ลูกกลับมาทำต่อ ขออย่างหนึ่ง ขอให้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นให้หมด ถ้าป๋ายังไม่ให้ตัดออก ป๋าก็จะเป็นเจเนอเรชั่นสุดท้ายที่ทำธุรกิจนี้ แต่ถ้าป๋าคิดจะเปลี่ยน ผมก็จะยืนเคียงข้างป๋า ทำต่อให้มันอยู่ได้

เมื่อท่านยอม เราก็ตัดขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งก็เสียที่ดินในเมืองไปหลาย 10 ไร่ อยู่เหมือนกัน  เจรจากับธนาคารแฮร์ฮัตหนี้ ช่วง 1-2 ปีแรก ก็ตัดภาระหนี้ไปได้เกือบ 1.8 พันล้านบาท  จากนั้นผมก็ชลุกตัวอยู่ที่โรงแรมเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เข้ามาดูทุกอย่าง เดินหาเซลล์เอง ซึ่งจากสภาพโรงแรมตอนนั้นมันโทรมมาก ขายห้องราคา 1,700 บาท ก็ยอมปล่อยไป แต่ขอให้เค้าจ่ายเงินเราก่อน ให้ผมพอมีการบริหารจัดการเงินสดได้
Lert Thavornwongwongse, Thavorn Hotel Phuket

จากนั้นก็มามองเรื่องการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในโรงแรม ผมปิดห้องอาหารจาก 5 ห้อง เหลือ  2 ห้อง ของใช้ภายในโรงแรมทั้งหมด ผมคุยกับซัพพลายเออร์เงอ รู้ราคาทั้งหมด รู้ว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในการให้บริการลูกค้าในแต่ละห้องของโรงแรมเป็นเท่าไหร่ กระทั่งของใช้ในห้องน้ำ ราคา 3 บาท ผ้าปูเตียงถ้าซักจะตกอยู่ที่ 15 บาท หลอดไฟ 6 วัตต์ ราคา 200 บาท ผมดีลเองทั้งหมดผมเดินหน้าปฎิวัตระบบการเงินของบริษัท เริ่มทำงบกระแสเงินสดละเอียดมากขึ้น จนเราค่อยเพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาจนมั่นคงเพียงพอต่อการบริหารจัดการโรงแรม ปรับปรุงโรงแรมตามความเหมาะสม และตลอดช่วง 5  ปี ที่ผมเข้ามาบริหาร ก็ทำให้ปีนี้ธุรกิจของเรา มีกำไรครั้งแรกในรอบ 20 ปี มีรายได้กว่า  515 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดนับแค่แต่ดำเนินธุรกิจมา มีอัตราการเข้าพักของลูกค้าเพิ่มเป็น 91 %

ทั้งยังมีกำลังที่ทยอยใช้หนี้ได้ อย่างล่าสุดก็จ่ายหนี้ก่อนกำหนดไปกว่า 70 ล้านบาท ตอนนี้เราเลยถูกจัดว่าเป็นลูกหนี้ที่ดี จากเดิมที่เขาบอกห่วยแตกที่สุดในภูเก็ต การทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  หนี้ก็จะลดน้อยลงไปมาก ผมมองว่าตอนนี้เราเหลือหนี้อยู่ราว 1 พันล้านบาท ในอีก 3 ปีนี้ก็จะเหลือ  400 -500 ล้านบาท ไม่ช้าก็จะหมดปัญหาในเรื่องนี้
วันนี้รู้ชิลมาก ไม่ต้องมานั่งลุ้นระทึกเสียวสันหลังเหมือนเมื่อก่อน เพราะตอนนี้เรามีเงินสดที่เป็นสภาพคล่องแตะ 200 ล้านบาท ไม่ใช่แค่ 5 ล้านบาท เหมือนตอนผมเข้ามารับดูแลธุรกิจใหม่ ๆ รู้ว่าจะบริหารกระแสเงินสด ที่จะลงทุนทำอะไรไปในโรงแรม ต้องได้รายได้กลับคืนมาอย่างคุ้มค่า ทำให้วันนี้ผมเริ่มแผนสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคตได้ แล้วหลังปลดหนี้ได้หมดในอีกไม่กี่ปีนี้ และต้องเป็นการลงทุนแบบมีสติ
ในช่วง 3-4 ปี ข้างหน้าก็มองว่าจะพัฒนาโรงแรมถาวร ที่อยู่ในเมืองโรงแรมเก่าแก่ของเราที่ไม่เคยปรับปรุงเลย เป็นแลนด์มาร์กใหม่ ทั้งเรายังมีอสังหาริมทรัพย์อีกราว 400 ไร่ ในตัวเมืองภูเก็ต ที่ให้คนอื่นเช่าอยู่หลายพันราย ก็จะหมดสัญญานปี  2562 ก็จะพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินได้ และยังเหลือที่ดินอีกหลายแปลงในภูเก็ตรวมถึงที่ดินที่พังงา ที่ปัจจุบันปล่อยเช่าทำเกษตรกว่า  3 พันไร่ด้วย  การทำงานที่ผานมาของผมมันอาจจะยากลำบากในช่วงปีแรก ๆ แต่อุปสรรคที่เรามีกับมันมาแต่ต้น ก็ทำให้เราเรียนรู้เป็นบทเรียนที่ผมต้องมีวิธีจัดการแก้ปัญหาและผ่านมันไปให้ได้ และสิ่งที่ผมจะต้องยึดต่อไปคือ  การคุมวินัยทางการเงินให้ได้ ทั้งในแง่การบริหารธุรกิจที่มีอยู่ เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจก้าวต่อได้แข่งแกร่ง ไม่ว่าจะเกิดมรสุมอะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเกิดขึ้น หรือแม้แต่การขยายการลงทุนต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ถือว่าเรามีภูมิกันแล้ว และจะไม่มีวันที่จะทำธุรกิจของตระกูล กลับมาเกิดปัญหาเหมือนสมัยอดีตอีก

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษกิจ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

คอลัมน์ : ซีอีโอโฟกัส
ฉบับที่ 3,420 วันที่ 22 – 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561